Wednesday, December 12, 2007

ประสพการณ์....การจัดการช้างป่าขาหัก

ประสพการณ์....การจัดการช้างป่าขาหัก

โดย น.สพ.พีรพร มณีอ่อน

เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2545 ผมได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ว่าพบช้างป่าได้รับบาดเจ็บ และเคลื่อนย้ายตัวด้วยการลากขาวิ่ง จึงเข้าไปตรวจสอบ พบว่า ช้างที่บาดเจ็บเป็นช้างป่า เพศผู้ อายุประมาณ 8-10 ปี (Sub-adult) มีเลขประจำตัวคือ F 8/5 ช้างตัวนี้เป็นช้างอยู่ในครอบครัวที่ 8 (F8) มีประวัติอยู่ในการศึกษาสำรวจช้างป่าในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พบครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2544 มีสมาชิกในโขลงโดยปกติ จำนวน 11 ตัว ลักษณะจำแนกคือ มีงายาวจากริมฝีปากประมาณ 10 –12 นิ้ว มีตำหนิที่หูข้างซ้ายมีรูตรงกลางใบหู เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-2 นิ้ว เมื่อติดตามไปดูพบช้างจำนวน 3 เชือก อยู่ในกลุ่มเดียวกับช้างที่บาดเจ็บ ช้างตัวที่บาดเจ๊บแสดงอาการบาดเจ็บบริเวณขาหลังด้านซ้าย โดยเห็นอาการบวมตั้งแต่บริเวณ femur – patella เมื่อเคลื่อนไปได้ประมาณ 20 m และหยุดพักประมาณ 3-5 นาที นอกจากนี้ยังพบเห็นรอยขาลากเป็นทางยาวประมาณ 2-3 km ช้างมีพฤติกรรมหวาดระแวงและพยายามเข้าทำร้ายกลุ่มเจ้าหน้าที่ผู้ติดตาม ผม และคณะจึงได้ทำการถ่าย VDO และบันทึกภาพไว้ เมื่อนำข้อมูลมาวินิจฉัยได้ข้อสรุปเบื้องต้นดังนี้ ช้างป่า F8/5 น่าจะเกิด fracture บริเวณ femur region ใกล้กับ Patella bone ส่วนของ knee joint ทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น และเส้นประสาทบริเวณนั้น จึงแสดงอาการเจ็บปวด เดินขาลาก และไม่สามารถใช้ขาหลังซ้ายได้ โอกาสรอด 30% ตาย 70% หลังจากให้เจ้าหน้าที่ลาดตระเวณป่าไม้คอยติดตามอยู่ห่าง ๆ พบว่า ช้างป่า F8/5 ก็ยังคงอาศัยอยู่เดี่ยว ๆ เดินตามโขลงไม่ทัน หวาดระแวง จึงเกรงว่าถ้าปล่อยไว้ต่อไป กระดูกที่หักอาจแทงทะลุกล้ามเนื้อเป็นแผลเปิดได้ และเล็บเท้าหลังซ้ายที่เดินลากมาเป็นระยะเวลานานนั้นจะเกิดเป็นแผลเปิด ทำให้มีโอกาสที่จะเกิด Septicemia ถ้าไม่ช่วยเหลืออาจจะเสียชีวิตได้ ในขั้นต้นรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ แคลเซียม และวิตามิน ยัดใส่ในกล้วย ให้กินอยู่ประมาณ 5 วัน อาการเริ่มดีขึ้น การเคลื่อนไหวดีขึ้น ตอนแรกผมวางแผนไว้ว่าจะ Dart ยาสลบ แล้วควบคุมโดยการกักบริเวณไว้ในรั้วไฟฟ้า เพื่อที่จะได้สะดวกในการติดตามผล และตรวจรักษา แต่หลังจากยัดยาไว้ในกล้วย 5 วันแล้วอาการดีขึ้น ซึ่งสังเกตได้จากรอยขุดของเล็บขาหลังซ้ายข้างที่หักที่ลดลง จากในช่วงแรกก่อนให้ยาวัดรอยขาลากได้ยาวประมาณ 2 เมตร หลังจากติดตามรอยขาลากไปเรื่อย ๆ พบว่า รอยขาลากเริ่มสั้นลงเรื่อย ๆ และเห็นร่องรอยการกินอาหารตลอดเส้นทางที่เดินอยู่ในป่า แสดงให้เห็นว่าสุขภาพเริ่มดีขึ้น ถึงแม้ว่าจะล้มเลิกความคิดที่จะยิงยาสลบแล้วกักบริเวณช้างไป แต่พวกเราก็ยังไม่ลดความพยายามที่จะ Monitoring ร่วมกับการให้ยาใส่ในกล้วย บางครั้งธรรมชาติก็ไมสามารถอธิบายได้ ถึงแม้ว่าผมจะเป็นหมอเล่าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ แต่ของบางอย่างไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ก่อนเข้าป่าในแต่ละครั้งคณะทำงานของเราจะทำพิธีเบิกป่าเบิกไพร เซ่นไหว้เจ้าพ่อเขาใหญ่ เจ้าปู่เขาเขียว เจ้าพ่อเขาเขียว ถึงแม้การกระทำดังกล่าวจะเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ได้เข้าไปติดตามช้างในป่าไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ ที่เป็นอุปสรรคร้ายแรงในการทำงานเลย ตัวผมเองนั้นได้ออกติดตามช้างป่าเชือกนี้มานาน โดนนักวิชาการหลาย ๆ ท่านที่ไม่ใช่นายสัตวแพทย์ลงข่าวหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับ การปฏิบัติการช่วยเหลือช้างป่าครั้งนี้ว่า สัตวแพทย์ไม่เคยช่วยเหลือช้างป่าแล้วรอดตายได้สักที บางท่านก็บอกว่ากับแค่ช้างป่าเชือกเดียว ปล่อยให้ตายไปก็ไม่เห็นเป็นไร บางท่านก็บอกว่า สัตวแพทย์ไทยไม่มีความสามารถ และเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะช่วยเหลือช้างป่าได้เลย ด้วยความเป็นหมอที่เพิ่งทำงานได้ไม่ถึงปี ก็รู้สึกสับสน แต่ในใจก็คิดว่าถึงเวลานี้แล้ว เราเป็นหมอ ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ และต้องขอขอบคุณคำวิจารณ์ต่าง ๆ จากนักวิชาการทุกท่าน รวมทั้งหนังสือพิมพ์ ที่ช่วยเป็นตัวจุดประกายแรงผลักดันให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือช้างป่าเชือกนี้ให้ถึงที่สุด ท่านหม่อมเจ้ารังสีนพดล ยุคล พอได้ทราบข่าว ท่านทรงเป็นห่วงช้างป่าเชือกนี้เป็นอย่างยิ่ง (ปกติท่านก็รักช้างมาตลอด) พอทราบข่าวว่าลูกท่าน (F8/5) บาดเจ็บ ทรงเสด็จมาที่เขาใหญ่ร่วมกันติดตามช้างป่าตัวนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืนด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าสุขภาพของท่านหญิงจะไม่แข็งแรงก็ตาม และท่านหญิงก็ได้เป็นขวัญและกำลังใจให้กระผมและเจ้าหน้าที่ทุกคนในการติดตามการรักษาช้างตัวนี้ ในขณะที่ติดตามอยู่ป่า บางครั้งก็มีคำถามกับตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมต้องเสี่ยงชีวิตถึงขนาดนี้ ต้องเดินในป่าเขาใหญ่เป็นเวลาหลายเดือน บางครั้งเดินตามรอยไปหลงในดงกระทิง ฝ่าดงงูเห่า ข้ามดงเสือผ่าน เดินมาทั่วเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากกับการเดินตามหาช้างป่าตัวเดียวในป่าพื้นที่ 2500 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ในช่วงหน้าฝนมีทั้งทาก โคลน แมลง สัตว์ป่าอันตรายต่าง ๆ มากมาย เจ้าหน้าที่ที่ติดตามไปด้วยจะมีปืนลูกซอง M-16 ปืนพก แต่ผมมีแค่ปืนยิงยาสลบเก่า ๆ แต่ประสิทธิภาพสุดยอด ผมเองก็น้อยใจ ไม่มีอาวุธติดตัวเลย เจ้าหน้าที่เลยให้มีดมา 1 ด้าม เราเองก็ดีใจที่เค้าเป็นห่วงเรา แต่พอนึกอีกที มีดด้ามเดียวจะไปสู้กับช้าง หมี หรือเสือได้อย่างไร ก็เลยค้อนใส่เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่พอได้ฟังเราค้อนปุ๊บก็หันมาบอกว่า “หมอ lot เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ไอ้มีดที่ให้ไปน่ะ ไม่ได้ให้เอาไปสู้กับเสือหรือหมีหรอก เอาไว้ให้หมอ lot แทงอกตัวเองต่างหาก เวลาเจอเสือหรือหมีเข้าทำร้าย หมอ lot จะได้ไม่ตายเพราะถูกเสือหรือหมีฆ่า” มันน่าขอบคุณไหมล่ะ ก็เป็นอีกบรรยากาศหนึ่งในการทำงาน เจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกคนค่อนข้างเก่ง และเป็นกันเอง หน้าที่ของพวกเขาก็คือพาหมอไปหาช้าง และคอยคุ้มครองป้องกันหมอ (แต่พอถึงเวลาอันตรายจริง ๆ ก็วิ่งกันป่าราบทุกที) ช่วงเวลาที่อยู่ในป่า พวกเราค่อนข้างรักกันมาก และได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่าง ๆ ซึ่งกันและกัน และสิ่งสำคัญที่ผมได้จากพวกเจ้าหน้าที่ คือการใช้เครื่อง GPS การดูแผนที่ และการใช้เข็มทิศ ต่อให้เดินป่าที่ไหนทั่วโลก ถ้ามี 3 สิ่งนี้ ยังไงก็ไม่หลง ช่วงต้นเดือนตุลาคม เป็นช่วงหน้าฝน ฝนในเขาใหญ่ตกหนักมาก แต่เราก็ไม่ละความพยายามที่จะติดตาม ตากฝนเป็นวัน ๆ ทากก็เยอะมากในช่วงหน้าฝน ช่วงแรก ๆ ไม่ชอบทากเลย แต่พอหลัง ๆ เริ่มชินและสนุก ดูดได้ดูดไป เอาเลือดชั่วออกไปบ้างก็ดี (แต่กว่าจะเอาเลือดชั่วออกหมด สงสัยเกิด Hypovolumic shock พอดี) พอถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ฝนตกหนัก ทำให้เราไม่สามารถติดตามหาร่องรอยลากขาของช้างที่บาดเจ็บได้ พยายามหาร่องรอยการเดิน และการกินอาหารก็ไม่เจอ จึงได้ระดมเจ้าหน้าที่ลาดตระเวณป่าไม้พลิกผืนป่าทั้งหมดเพื่อตามหา แต่ก็ไม่พบร่องรอย ในใจก็ได้แต่ภาวนาขอให้มีชีวิตอยู่เถอะ please ทุก ๆ คืนจะขับรถถนนเส้นเขาใหญ่ – ปราจีนบุรี เพียงเพื่อหวังว่าจะพบช้างป่าออกมาบนถนน แต่ก็ไร้วี่แวว เอาไงดีวะกู จะเป็น GOD หรือ DOG วะ และแล้ว เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ก่อนถึงวันปีใหม่ ปรากฏว่าโขลง F8 ออกมาเดินบนถนน พร้อมกันนั้นก็ได้นับจำนวนสมาชิกในโขลง Oh! My god สมาชิกทั้งหมดนับได้ 12 ตัว F8/5 เดินตามโขลงออกมาถนน โอ้ละพ่อ เค้ายังมีชีวิตอยู่ สังเกตการเคลื่อนไหว พบว่าเขาสามารถเคลื่อนไหวโดยลงน้ำหนักขาหลังซ้ายได้เกือบปกติ สุขภาพดี เดินออกมากินดินโป่งอย่างมีความสุข ทำให้พวกเราทีมงานทั้งอุทยานและนักท่องเที่ยวมีความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เลยคิดสรุปเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ว่า เราคิดถูกแล้วที่ยังไม่ยิงยาสลบในตอนนั้น Monitoring ไปเรื่อย ๆ หรือว่าพฤติกรรมช้างป่าในช่วงที่เราติดตามหาร่องรอยไม่พบ เค้าน่าจะมีที่แห่งใดแห่งหนึ่งในป่าเป็นเหมือนที่หลบซ่อนรักษาพยาบาลตัวเอง ร่วมกับอาศัย Natural Healing Monitoring เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการดูแลรักษาสัตว์ป่าในป่า เพื่อที่จะได้เป็นการประเมินสภาพของสัตว์ได้ โดยที่เราไม่จำเป็นที่จะนำเอามา Admit ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาด้านการจัดการต่าง ๆ ตามมาอีกมากมาย จากประสบการณ์ในครั้งนี้ ได้แนวทางในการรักษาสัตว์ป่าป่วยในป่า ว่าให้เน้นธรรมชาติบำบัด ร่วมกับการให้ยาในอาหาร หรือ dart ยาระยะไกล และไม่จำเป็นที่จะต้องนำสัตว์มา Admit treatment และ supportive แค่ช่วงเดียว แล้ว Monitoring สัญชาตญานการเอาตัวรอดของช้างป่า จะช่วยให้มันอยู่รอดเอง แต่ก็ไม่ควรจะละเลยที่จะเข้าไปช่วยเหลือเลย และที่สำคัญที่สุดคือ Monitoring เพื่อเป็นการประเมินสภาพสัตว์ป่วย ขอขอบคุณ - หม่อมเจ้ารังสีนพดล ยุคล - อุทยานแห่งชาติ เขาใหญ่ - โครงการอนุรักษ์เขาใหญ่ - ชมรมสัตวแพทย์สวนสัตว์และสัตว์ป่าแห่งประเทศไทย - อีกหลายท่านที่มิได้เอ่ยนาม

By: หมอล๊อต...ปลายงาเคี่ยวเข้ม1

2 comments:

jariya News said...

Fanclub ของคุณหมอล็อต ขอ Comment ผลงานของคุณหมอเป็นคนแรกก็แล้วกันนะคะ..อิอิ ตอนนั้นคุณหมอชื่อคุณหมอพีรพร อยู่เลย..ท่านปลายงาเขี้ยวเข้ม 1 เก่งจังเลยค่ะ ช้างป่าเวลาเจ็บนี่คงดุเป็นหลายเท่าทวีคูณ จริงๆแล้วอยากเห็นภาพการทำงานของหมอด้วยนะคะจะได้อรรถรสยิ่งขึ้น ไว้โอกาสหน้าจะไปช่วยหมอฝึกทีมงานในการใช้ฮาร์เน็ทโรยตัวดีกว่าท่าจะปลอดภัยจากการหนีช้างได้พอสมควรพอช้างวิ่งเข้ามาตามหลักการต้องขึ้นที่สูงเพียงเราดึงเชือกรูดขึ้น(เหมือนหน่วยคอมมานโดโรยตัวประมาณนั้นอ่ะค่ะ น่าจะช่วยหมอและทีมงานได้เนอะ แต่มีข้อแม้ว่าตรงนั้นต้องมีต้นไม้สูงอยู่ด้วยน่ะสิ..อิอิโม้มากมากและ รอความคิดเห็นท่านต่อไปดีกว่าค่ะ^-^

Anonymous said...

ชื่นชมความตั้งใจและผลงานของคุณหมอล็อตและทีมงาน

...ปรบมือๆๆๆ....